การที่จะสามารถสร้างเชื่อมโยงกับตลาดการเงินได้อย่างถูกต้อง นั้นจำเป็นที่จะต้องอาศัยความเข้าใจนโยบายของทั้งพรรคเดโมแครต (DEM) และพรรครีพับลิกัน (REP) และที่สำคัญคือต้องรู้ว่า นโยบายใดที่ตลาดมองว่ามีผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นต่อเศรษฐกิจหรือผลกำไรขององค์กร
เทรดเดอร์ต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแสดงการซื้อขายในช่วงที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ หากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังเหลือเวลาอีกหลายสัปดาห์และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เริ่มเพิ่มขึ้น รือเราพบว่าข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แย่ลงอย่างแท้จริง ตลาดอาจลดความอ่อนไหวต่อผลการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น และอาจทำให้ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นกลายมาเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดแทน
ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ คือเมื่อกระแสข่าวสารกลายเป็นจุดสนใจหลักของตลาด – เมื่อพาดหัวข่าวเริ่มมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาอย่างชัดเจน และเราเห็นข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นบทความพาดหัวบ่อยครั้ง ในช่วงนี้ตลาดจะตอบสนองน้อยมากต่อการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจ (เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตรหรือดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ) และพยายามที่จะกำหนดราคาเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นต่อการคลัง นโยบายการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกฎระเบียบของอุตสาหกรรมหากการสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสนำหน้า
เรื่องนี้นั้นมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีเท่านั้นที่สามารถส่งผลต่อตลาดได้ แต่การจัดตั้งของสภาคองเกรสก็สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตั้งราคาตลาดเช่นกัน หากประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกไม่สามารถผ่านนโยบายที่มีความขัดแย้งมากขึ้นโดยใช้คำสั่งฝ่ายบริหาร และเราเห็นพรรคเดโมแครตควบคุมสภาผู้แทนราษฎร และพรรครีพับลิกันควบคุมวุฒิสภา จะทำให้เกิด "สภาคองเกรสที่แบ่งแยก" ซึ่งน่าจะนำไปสู่ความติดขัดทางนโยบาย จากนั้นปฏิกิริยาใดๆ ที่อาจส่งผลต่อตลาดจากนโยบายเฉพาะจะมีความเห็นอกเห็นใจน้อยลงมาก
ในสภาคองเกรสที่แบ่งแยกนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาว่านโยบายใดที่จะไม่ผ่านในรูปแบบที่เสนอในปัจจุบัน พร้อมกับพิจารณาว่านโยบายใดเป็นเพียงคำพูดทางการเมืองเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ทรัมป์ได้เสนอว่าเขาต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการเงิน ความจริงคือการสูญเสียความเป็นอิสระของเฟดน่าจะนำไปสู่การล่มสลายของตลาด ซึ่งดังนั้นทำให้ข้อเสนอนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง
อาจกล่าวได้ว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์เพื่อวางกลยุทธ์การซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ไม่ใช่เพียงแค่การตีความการเปลี่ยนแปลงในผลสำรวจและความน่าจะเป็นของผลการเลือกตั้งที่สำคัญ แต่เป็นการพิจารณาว่ามุมมองรวมของผู้เข้าร่วมตลาดทั้งหมดเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อการเลือกตั้งอย่างไร ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและการกำหนดราคา
หากลองสมมติว่าทรัมป์ได้ขึ้นนำในผลสำรวจระดับประเทศ ผมอาจพิจารณาซื้อ USDCNH (หยวนจีน) เนื่องจากนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% ที่ถูกเสนอขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หากผู้เข้าร่วมตลาดส่วนใหญ่ตัดสินใจขาย USDCNH เพราะพวกเขากังวลมากกว่านโยบายของทรัมป์และแวนซ์ที่ต้องการให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หรือความต้องการของทรัมป์ที่จะมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายการเงิน การเทรดของผมอาจขัดแย้งกับกระแสเงินทุนและทิศทางของตลาดในเวลานั้น
ในมุมมองของผมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างผลทางการเมืองและผลกระทบต่อตลาดอาจไม่มีความเชื่อมโยงกันมากนั้นหากกระแสเงินทุนโดยรวมไม่เห็นไปในทิศทางเดียวกัน และแม้ว่ามุมของผมอาจจะถูกต้องในที่สุด แต่หาก USDCNH มีการซื้อขายต่ำลง ผมเองก็จะต้องจัดการกับตำแหน่งการเทรดที่ขาดทุนเช่นกัน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (TA) และการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา (PA) สามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเทรดในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในกรณีที่เราต้องมองให้เห็นเป็นแผนภาพรวมของอุปสงค์และอุปทานทั้งหมด และที่สำคัญคือการที่ผู้คนโดยรวมตีความกระแสข่าวสารอย่างไร ในรูปแบบส่วนใหญ่ TA และ PA ไม่ได้มีไว้สำหรับทำนายอนาคต แต่ช่วยให้เราสามารถกำหนดรูปแบบการประเมินความน่าจะเป็นของการเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นไปได้
เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกในนโยบายสำคัญที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่ละคนเสนอ แต่ควรสังเกตความคิดเห็นของตลาดต่อการเลือกตั้งว่าเป็นไปในทิศทางไหนในช่วงเวลานั้นๆ วิธีนี้จะช่วยให้เราสังเกตเห็นถึงสัญญาณที่สามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ จากผลสำรวจที่น่าประหลาดใจนั้นมีสัญญาณที่สามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ หรือว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสได้พูดอะไรบางอย่างที่เทรดเดอร์รู้สึกว่านั่นอาจจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะประทับใจหรือไม่พอใจได้
ในกลยุทธ์ทางเทคนิคหลายๆ รูปแบบ เทรดเดอร์มักจะมองหารูปแบบและพฤติกรรมที่เกิดซ้ำๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นอีก แน่นอนว่าเมื่อมีข่าวใหม่ๆ เข้ามาในตลาด เงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมอาจเปลี่ยนแปลงไป และแนวโน้มอาจกลับทิศได้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อกระแสเงินทุนทั้งหมดจะช่วยให้เราสามารถสร้างกลยุทธ์ที่เพิ่มโอกาสและข้อได้เปรียบในการซื้อขายได้
นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบด้านการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค (TA) และการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา (PA) สามารถแก้ไขได้ เทรดเดอร์สามารถใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เพื่อวัดการเคลื่อนไหวในตลาด (เช่น NAS100, ทองคำ หรือ USD) สิ่งนี้สามารถช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมในแต่ละการเทรด (เช่น ระยะห่างจากการตั้งจุดหยุดการขาดทุน) และช่วยให้คำนวณขนาดการวางตำแหน่งได้อย่างถูกต้องเมื่อเทียบกับความผันผวนในตลาดในขณะนั้น
โดยสรุปแล้ว สำหรับหลายๆ คนในตลาด การเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการติดตาม อย่างไรก็ตาม การพยายามทำกำไรจากเหตุการณ์นี้ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และโชคช่วย ในการปรับใช้ให้สอดคล้องกับข้อมูลส่วนรวมในตลาด คุณไม่จำเป็นต้องติดตามผลสำรวจหรือต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าคำปราศรัยของทรัมป์หรือแฮร์ริสได้จะมีผลมากน้อยกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันอย่างไร
การเรียนรู้ที่ในการอ่านกราฟเป็นตัวนำทางและการมองถึงความน่าจะเป็นในอนาคต การวิเคราะห์ทางเทคนิคและ/หรือการเคลื่อนไหวของราคา สิ่งเหล่านี้หากนำมาใช้ในการสร้างกรอบการทำงานและกระบวนการการวิเคราะห์ได้นั้น จะสามารถช่วยตัดเสียงรบกวนและอารมณ์ที่มักมาพร้อมกับเหตุการณ์ที่สร้างความแตกแยกทางความคิดดังกล่าวนี้ได้
เนื้อหาที่ให้ไว้ในที่นี้ไม่ได้จัดทำขึ้นตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของการวิจัยการลงทุน และด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นการสื่อสารทางการตลาด แม้ว่าจะไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามใดๆ ในการจัดการก่อนการเผยแพร่การวิจัยการลงทุน แต่เราจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ก่อนที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าของเรา